
คุณอาจจะคิดว่าเหล็กทุกชนิด เทคนิคการตัด และเชื่อมต้องเหมือนๆกันทั้งหมด แต่จริงๆ มันมีความแตกต่างในรายละเอียด ซึ่งการตัดและเชื่อมเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีอย่างไม่ถูกวิธีอาจส่งผลเสียให้ชิ้นเหล็กนั้นเสียหายได้ ในเนื้อหาบทความนี้เราจึงจะมาอธิบาย บอกเทคนิคที่คุณสามารถเอาไปใช้ได้จริง ยกระดับทักษะการทำงานของคุณให้ดียิ่งขึ้น มาเริ่ม!
การเตรียมการก่อนการตัดเหล็กเคลือบสังกะสี
เครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการตัดเหล็กเคลือบสังกะสี
เทคนิคการตัดเหล็กเคลือบสังกะสี
การเลือกใช้ก๊าซเสริมในการตัด
ข้อควรระวังเมื่อตัดเหล็กเคลือบสังกะสี
การดูแลรักษาและการป้องกันชั้นเคลือบสังกะสีหลังการตัด
การเตรียมพื้นผิวก่อนเชื่อม
การเลือกอุปกรณ์เชื่อมที่เหมาะสม
เทคนิคการเชื่อมเหล็กเคลือบสังกะสี
ข้อควรระวังในการเชื่อมเหล็กเคลือบสังกะสี
การตกแต่งหลังเชื่อม
คำถาม : การตัดเหล็กเคลือบสังกะสีด้วยเครื่องตัดเลเซอร์ ได้หรือไม่?
คำตอบ : เครื่องตัดเลเซอร์สามารถตัดเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตัดด้วยเลเซอร์ใช้ลำแสงเลเซอร์ความหนาแน่นสูงเพื่อหลอมละลายและระเหยวัสดุ โดยมีการเติมก๊าซเสริมเพื่อช่วยในกระบวนการตัด สำหรับเหล็กชุบสังกะสี ควรใช้ก๊าซออกซิเจนหรือไนโตรเจนที่มีความบริสุทธิ์สูงเพื่อให้ได้คุณภาพการตัดที่ดี โดยความบริสุทธิ์ของออกซิเจนควรมากกว่า 99.6% และไนโตรเจนควรมากกว่า 99.5% การตัดด้วยเลเซอร์ช่วยให้ได้ขอบตัดที่เรียบและแม่นยำ โดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชั้นเคลือบสังกะสี ทำให้เป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับการตัดเหล็กชุบสังกะสีในงานอุตสาหกรรม
คำถาม : ควรใช้ค่าเคลียร์เลนซ์เท่าไรในการตัดเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี?
คำตอบ : ในการตัดเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี ค่าเคลียร์เลนซ์ที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างมากต่อคุณภาพของรอยตัด โดยทั่วไปแล้ว ค่าเคลียร์เลนซ์ที่แนะนำคือประมาณ 2 ถึง 10% ของความหนาของแผ่นโลหะ การใช้ค่าเคลียร์เลนซ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้รอยตัดที่สมบูรณ์ ลดการเกิดรอยหยาบหรือการบิดตัวที่ขอบ และช่วยลดแรงที่ต้องใช้ในการตัด อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงด้วยว่าหากแผ่นโลหะมีความหนามากขึ้น ก็จำเป็นต้องใช้ค่าเคลียร์เลนซ์ที่มากขึ้นตามไปด้วย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การตัดที่ดีที่สุด
คำถาม : เชื่อมเหล็กกัลวาไนซ์ไม่ติดต้องทำอย่างไร?
คำตอบ : การเชื่อมเหล็กกัลวาไนซ์ให้ติดนั้นต้องใช้เทคนิคเฉพาะ เนื่องจากชั้นสังกะสีที่เคลือบอยู่บนผิวเหล็กจะเป็นอุปสรรคต่อการเชื่อม ขั้นตอนแรกคือต้องขัดหรือเจียรชั้นสังกะสีออกบริเวณที่จะเชื่อมให้เห็นเนื้อเหล็กด้านใน จากนั้นปรับกระแสไฟให้สูงกว่าปกติเล็กน้อย และใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสม เช่น ลวดเชื่อมสแตนเลส หรือลวดเชื่อมทองเหลือง ระหว่างเชื่อมควรรักษาระยะอาร์คให้สั้น และเคลื่อนลวดเชื่อมช้าๆ เพื่อให้ความร้อนแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเหล็กได้ดี นอกจากนี้ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เนื่องจากไอระเหยของสังกะสีอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การฝึกฝนและทดลองเชื่อมบนชิ้นงานทดสอบก่อนจะช่วยให้เกิดความชำนาญและได้ผลงานที่มีคุณภาพ
คำถาม : การเชื่อมเหล็กกัลวาไนซ์ ใช้ไฟเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม?
คำตอบ : การเชื่อมเหล็กกัลวาไนซ์ต้องใช้กระแสไฟที่เหมาะสมเพื่อให้ได้แนวเชื่อมที่มีคุณภาพ โดยทั่วไปสำหรับเหล็กกัลวาไนซ์หนา 1 มิลลิเมตร ควรใช้กระแสไฟประมาณ 70-90 แอมป์ อย่างไรก็ตาม ค่ากระแสไฟที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันไปตามความหนาของชิ้นงานและท่าเชื่อม จึงควรเริ่มจากกระแสไฟต่ำๆ ประมาณ 50-60 แอมป์ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนได้การหลอมละลายที่เหมาะสม นอกจากนี้ ควรใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะกับเหล็กกัลวาไนซ์ เช่น ลวดเชื่อมสแตนเลสหรือลวดเชื่อมทองเหลือง และต้องขัดชั้นสังกะสีออกบริเวณที่จะเชื่อมก่อนเสมอ เพื่อให้การเชื่อมมีประสิทธิภาพสูงสุด
คำถาม : เหล็กกัลวาไนซ์ใช้ลวดเชื่อมแบบไหน?
คำตอบ : เหล็กกัลวาไนซ์ควรใช้ลวดเชื่อมที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเชื่อมเหล็กกัลวาไนซ์ ลวดเชื่อมประเภทนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่เหมาะกับการเชื่อมเหล็กกัลวาไนซ์ โดยสามารถเชื่อมได้ง่าย ให้แนวเชื่อมที่สวยงาม มีควันน้อย สแลคหลุดร่อนง่าย และไม่ทำให้ชิ้นงานทะลุแม้เป็นเหล็กบาง นอกจากนี้ ลวดเชื่อมกัลวาไนซ์ยังสามารถใช้เชื่อมได้ทั้งเหล็กกัลวาไนซ์และเหล็กทั่วไป ทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
คำถาม : เชื่อมเหล็กกล่องบาง 1.2mm ทำอย่างไรดี เชื่อมด้วยไฟฟ้าแล้วทะลุหมดเลย?
คำตอบ : การเชื่อมเหล็กกล่องบาง 1.2mm สามารถทำได้โดยใช้เทคนิคการเชื่อมแบบ ARC ด้วยลวดเชื่อมขนาด 2.0 มิลลิเมตร เพื่อป้องกันการทะลุ ควรปรับระดับกระแสไฟให้อยู่ที่ประมาณ 80A และใช้เทคนิค "แต้มยก" คือเชื่อมเป็นจุดสั้นๆ แล้วยกขึ้นทันที ไม่เชื่อมค้างไว้ นอกจากนี้ ควรเอียงหัวเชื่อมทำมุมประมาณ 45 องศากับชิ้นงาน และสังเกตสีของเหล็ก หากเริ่มเป็นสีแดงมากแสดงว่าใกล้จะทะลุ ให้ยกหัวเชื่อมขึ้นทันที การใช้กระจกกรองแสงที่ไม่เข้มมากจะช่วยให้สังเกตบ่อหลอมละลายได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ที่ยังไม่ชำนาญ อาจพิจารณาใช้วิธีการเชื่อมแบบ MIG ซึ่งให้ความร้อนต่ำกว่าและมีการซึมลึกสูง แต่อุปกรณ์จะมีราคาแพงกว่า
คำถาม : หากเชื่อมแล้วมันชอบติดลวด ต้องทำอย่างไร?
คำตอบ : เหตุหลักมักเกิดจากการตั้งค่ากระแสไฟฟ้าที่ต่ำเกินไป การเคลื่อนลวดเชื่อมช้าเกินไป หรือการถือหัวเชื่อมใกล้ชิ้นงานมากเกินไป เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ควรเพิ่มกระแสไฟฟ้าให้สูงขึ้น เคลื่อนลวดเชื่อมให้เร็วขึ้น และรักษาระยะห่างระหว่างหัวเชื่อมกับชิ้นงานให้เหมาะสม นอกจากนี้ การทำความสะอาดพื้นผิวชิ้นงานก่อนเชื่อมและการใช้ลวดเชื่อมที่มีคุณภาพดีก็สามารถช่วยลดปัญหาการติดลวดได้เช่นกัน การฝึกฝนและปรับเทคนิคการเชื่อมอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เกิดความชำนาญและลดปัญหาการติดลวดได้ในที่สุด